Wednesday, August 25, 2010

Thai News 8-24-10



______________________________________________


In the Malaysian 53rd Independence and Flag Raising Day, the Malaysian community will be
portraying our multi cultural and heritage composition.

The Malaysian Club of Chicago cordially invites you to the Malaysian Independence Day celebration scheduled for
August 31, 2010 at 12:00pm at the Chicago Daley Plaza.
On this day, the Malaysian Flag will be raised alongside the U.S. flag.
Asian and non-Asian Consul Generals, City, state, congressman and senators will be present at this event.
Your presence and support is most significant to the Malaysian American community and the Asian American community
as Malaysia is recognized by Tourism Malaysia as

"Malaysia Truly Asia"

Thank you

-- Yin Kean
Honorary President and on behalf of Malaysian Club of Chicago
Email: yinpkean@gmail.com
Cell: 847-366-8886

Dr. Kim K. Tee
Founding President, Malaysian Club of Chicago

Dato’ Seri Stanley Thai
President, Malaysian Club of Chicago

Celine Thum
Event Chair
1st VP Malaysian Club of Chicago

________________________________________

http://www.konthaiusa.com/news-event/768--23-25-.html

Copyright: KonThaiUSA.com

นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ นายกลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เดินทางมาดูงานการจัดประชุมระดับโลกของไอทีเอฟ ที่กรุงวอชิงตัน วันที่ 23-25 ส.ค.นี้ ตามที่ประเทศไทย โดยลอนเทนนิสสมาคมฯ ได้รับความไว้วางใจจากสหพันธ์เทนนิสนานาชาติ (ไอทีเอฟ) ให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเทนนิสระดับโลก
หรือการประชุมใหญ่สามัญประจำปีของไอทีเอฟ ระหว่างวันที่ 21-23 กันยายน ในปี 2554 โดยนายสุวัจน์กล่าวว่า เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการเป็นเจ้าภาพจัดประชุมใหญ่ไอทีเอฟของไทย และคาดว่าการเป็นเจ้าภาพจัดประชุมไอทีเอฟ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของไทยได้อย่างมาก ซึ่งมาจากผู้เข้าร่วมการประชุมกว่า 500 คน กว่า 200 ประเทศทั่วโลก และในการประชุมครั้งนี้ยังมีวาระสำคัญ เช่น การเลือกตั้งประธานไอทีเอฟคนใหม่ รวมถึงกรรมการบริหารหรือบอร์ดไอทีเอฟชุดใหม่ จำนวน 13 คนด้วย

Read full article on KonThaiUSA.com or click on the image below


________________________________________


ประเด็นไทย ประเด็นต่างด้าว ประเด็นอเมริกัน

พีร์ พงศ์พิพัฒนพันธุ์ : piralv@yahoo.com

สัปดาห์นี้ผมมีหลายเรื่องที่อยากเล่าสู่กันฟังครับ แต่เนื่องจากมีเวลาเจอกันบนหน้าสยามรัฐรายวันเพียงวันเดียวในหนึ่งสัปดาห์ จึงขอนำเสนอบางภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งที่เมืองไทยและบางภาพที่เกิดขึ้นในอเมริกาช่วงตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา
เรื่องแรก คือ กรณีไทยทาวน์ ที่ก่อนหน้านี้ผมเคยนำเสนอถึงแนวคิดและรูปแบบการจัดการไทยทาวน์ในอเมริกาโดยภาพรวม ในฐานแห่งกาลครบกึ่งศตวรรษของชุมชนไทยในอเมริกา รวมทั้งการก่อกำเนิดไทยทาวน์ในย่านอีสต์ฮอลลีวูด เมืองลอสแองเจลิส อย่างเป็นทางการในปี 1999 ผมยังจำได้ว่า ช่วงมาอยู่อเมริกาใหม่ๆปี 1998 พวกเราคนไทย ยังมีการรณรงค์ ล็อบบี้เรื่องนี้กับสภาเมืองแอล.เอ.อยู่เลย
ก่อนหน้านี้ ผมแสดงความเห็นไปว่า ไทยทาวน์ ไม่ควรจำกัดอยู่แค่เมืองเมืองเดียว แบบที่แอล.เอ.เท่านั้นแต่หากคนไทยในอเมริการวมกันเป็นกลุ่มก้อนก็สามารถจัดตั้งไทยทาวน์ขึ้นมาในชุมชนแต่ละแห่งได้
เผอิญเมื่อหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาตลอดถึงช่วงนี้ คุณมนตรี ไชยศร แห่งเมืองมอนเทอเรย์พาร์ค แคลิฟอร์เนียภาคใต้ ผู้คลุกคลีใช้ชีวิตกับงานกิจกรรมสังคม ชุมชนไทย ชุมชนเอเชียน และข้างอเมริกัน มาอย่างยาวนาน ส่งข่าวว่า ตัวคุณมนตรีเองได้ร่วมหารือกับเพื่อนฝูงทางอเมริกาและเพื่อนๆที่เมืองไทย คิดวางแผนเรื่องตั้งไทยทาวน์ ที่เมืองวัลเลโฮ(Vallejo) ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับแนวคิดนี้ และจะน่ายินดียิ่งๆขึ้นไปหากกว่า ความร่วมมือดังกล่าวนี้ประสบผล
ความร่วมมือที่ว่า หมายถึงการประสานงานระหว่างคนของฝ่ายอเมริกันกับฝ่ายไทยทั้งภาครัฐและภาคเอกชน สิ่งที่จะได้ คือ ผลประโยชน์ของคนทั้งสองฟาก รวมทั้งผลประโยชน์ในแง่ของวัฒนธรรมและสังคม งานนี้ต้องอาศัยฝ่ายการเมืองท้องถิ่นของแคลิฟอร์เนียช่วยเหลือด้วยอย่างมาก นอกเหนือจากบทบาทเชิงเกื้อหนุนโครงการนี้หากว่าทางสถานกงสุลไทยฝั่งแอล.เอ.จะมีให้ได้
ก็ขอให้การดำเนินงานประสบความสำเร็จ!
ความจริงแล้วไทยทาวน์ในอเมริกาสามารถจัดตั้งได้ในหลายเมือง ทั้งสองฝั่ง คือ ฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออก เช่น เมืองใหญ่อย่างชิคาโก นิวยอร์ค หรือกระทั่งดีซีแอเรีย เขตเมืองหลวง
ไทยทาวน์ อาจมีรูปแบบเป็นมุม(แยกถนน) หรือย่านใดย่านหนึ่งของเมือง โดยสามารถพัฒนาพื้นที่ให้เกื้อหนุนต่อธุรกิจและวัฒนธรรมของคนไทยได้ และแน่นอนคงหนีไม่พ้นการสนับสนุนด้านการเงิน หรือการลงทุนเพื่อพัฒนาพื้นที่และสร้างระบบจัดการขึ้นมา ตามกฎหมายอเมริกัน
นับครั้งไม่ถ้วน ที่ไทยทาวน์และชุมชนไทยตามเมืองต่างๆ ในอเมริกาได้ถูกนำมาใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมืองของกลุ่มคนไทยในเมืองไทยเอง โดยเฉพาะในช่วงของความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศในช่วงที่ผ่านมา ตลอดจนถึงขณะนี้
กลุ่มกิจกรรมการเมืองหลายต่อหลายกลุ่ม(บรรดากลุ่มเสื้อสีต่างๆ)จากเมืองไทย ได้มาเปิดเวทีแสดงความเห็นกลับไปยังเมืองไทยและประเทศต่างๆ แสดงให้เห็นว่า“พื้นที่”ในอเมริกามีความสำคัญ แม้กระทั่งต่อระดับพรรคการเมืองในไทย สืบเนื่องไปถึงการจัดการเรื่องการเลือกตั้งในต่างแดน ซึ่งไม่ทราบว่าทางเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อเนื่องไปถึงไหนกันแล้ว เพราะที่ผ่านมาระบบข้อมูลของคนไทยในอเมริกาไม่ค่อยได้รับการปรับปรุงใหม่(Update) จากสถานกงสุลไทย โดยเฉพาะทางแคลิฟอร์เนียซึ่งเป็นรัฐที่คนไทยอาศัยอยู่จำนวนมากที่สุด
ในส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับการจัดตั้งไทยทาวน์หรือนั้น สามารถเชื่อมโยงไปถึงการลงทุนของนักลงทุนไทยในอเมริกาได้ด้วย เนื่องจากขณะนี้รัฐบาลอเมริกันเองเปิดโอกาสและวางเงื่อนไขการลงทุนแบบผ่อนปรนสำหรับต่างด้าวที่เข้าไปลงทุน เช่น การให้สิทธิ์เรื่องสถานะ การตั้งถิ่นฐานแบบถาวร แม้กระทั่งเรื่องภาษีตามแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลบารัก โอบามา
ปรากฎว่า ช่วง 1 ปีที่ผ่านมามีนักลงทุนจากจีนจำนวนมาก เข้าไปลงทุนในอเมริกา โดยได้รวมกลุ่มกันไปลงทุน บ้างก็ตั้งเป็นทรัสต์ฟันด์ขึ้น เพื่อช่วยเหลือเกื้อกูล ซึ่งกันและกัน ปฏิเสธไม่ได้ว่า เวลานี้หากไม่มีนักลงทุนเอเชียนแล้วเศรษฐกิจของอเมริกา จะแย่มากไปกว่านี้
ภาพที่เห็นก็คือ ในงานแสดงสินค้าและบริการ หรือโชว์ตามเมืองต่างๆ นักธุรกิจเอเชียนเดินให้ควั่ก เต็มไปหมด
เรื่องที่สอง คือผลพวงจากมาตรการเข้มงวดกับคนต่างด้าวผิดกฎหมายหรือแรงงานเถื่อน หรือที่คนไทยเราชอบเรียกว่า “โรบินฮู้ค” ตามแบบ“อริโซน่าโมเดล” ทำให้มีการพูดถึงการใช้ภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะกับคนต่างด้าวมากขึ้น เพราะเหตุว่า ในอเมริกามีชนกลุ่มน้อยหลายเชื้อชาติอาศัยอยู่ แต่ละเชื้อชาติย่อมมีความแตกต่างด้านวัฒนธรรมภาษา
บรรรดาอเมริกันสายอนุรักษ์นิยม ซึ่งประกอบไปด้วยพรรครีพับลิกัน ทีปาร์ตี้ และฝ่ายปีกขวาของพรรคเดโมแครต ต้องการให้ออกกฎหมายบังคับเรื่องการใช้ภาษาพูดและภาษาเขียนตามสถานที่หรือสถานประกอบการต่างๆของคนต่างด้าวหรือที่มีต่างด้าว โดยจะต้องเป็นภาษาอังกฤษทุกที่
เรื่องนี้คนจากประเทศอื่นๆ อาจไม่เข้าใจว่า คนต่างด้าวส่วนใหญ่ที่มาอาศัยทำมาหากินในอเมริกาจำนวนมากและเป็นส่วนใหญ่ใช้ภาษาอังกฤษไม่ได้ทั้งพูดและเขียน
โดยเฉพาะกลุ่มละติน(Latino) ที่ใช้ภาษาสเปน ซึ่งเป็นภาษาที่สอง
คนไทยและคนเอเชียเองก็ไม่แตกต่างแต่อย่างใด คือ ส่วนใหญ่พูดหรือสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษไม่ได้ เวลาต้องเข้ากิจกรรม ติดต่อราชการหรือมีคดีความ เป็นต้องเดือดร้อนวิ่งหาล่าม
บางเมืองอย่างเช่น ซานโฮเซ่ แคลิฟอร์เนียภาคเหนือ ใช้ภาษาเวียดนามเป็นภาษาที่สาม เพราะมีคนเวียดนามอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากนั่นเอง
ที่ผ่านมารัฐบาลและหน่วยงานเอกชนของอเมริกันประสบปัญหา เรื่องการสื่อสารกับคนต่างด้าวในประเทศ ทำให้ต้องลงทุนด้านเอกสารและด้านอื่นๆที่กี่ยวข้องกับการสื่อสารในสักษณะซ้ำซ้อน ทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณโดยใช่เหตุ
เรื่องนี้มีผู้สนับสนุนจำนวนไม่น้อย เมื่อไม่กี่วันมานี้ วุฒิสมาชิกแฮรี่ รีด (Harry Reid) ประธานส.ว.เสียงข้างมาก (จากรัฐเนวาดา) แห่งพรรคเดโมแครตเสนอโปรแกรมเรียนภาษาอังกฤษทางวิทยุและทีวีสาธารณะ สะท้อนให้เห็นถึงท่าทีที่ก้ำกึ่งในการหวังดึงคะแนนของคนอเมริกันที่อยู่ฝ่ายอนุรักษ์ฯพร้อมกับดึงคะแนนจากฝ่ายเสรีนิยม ที่สนับสนุนต่างด้าว ในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้
เรื่องที่สาม เป็นเรื่องเศรษฐกิจ ขณะที่เศรษฐกิจของอเมริกากำลังฟื้นตัวอย่างช้าๆ ทางยุโรปกำลังมีปัญหาพิษเศรษฐกิจลามขยายออกไปยังหลายประเทศ ก็มีการพูดกันเช่นกันว่า เลยจากผลกระทบทางยุโรปแล้ว ประเทศในเอเชียจะรับผลของวงจรอุบาทว์นี้ต่อ ซึ่งคนไทยเองไม่สามารถประมาทได้เลย โดยเฉพาะความเสี่ยงของอาการฟองสบู่แตก จากการเก็งกำไรด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีมากเกินไปในขณะนี้
สภาพการณ์ของเมืองไทยจะตกอยู่ในความเสี่ยงทันที หากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง รัฐบาลและรัฐสภาไม่เอาจริงเอาจังกับการสกัดการเล่นเก็งกำไรที่ดิน และอสังริมทรัพย์ประเภทอื่นๆ ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า สถาบันการเงินของไทยได้มีการปล่อยกู้เพื่อเก็งกำไรสินทรัพย์ประเภทนี้กันจำนวนมาก เสี่ยงที่จะก่อให้เกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL) ตามด้วยสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPA)
เรื่องสุดท้าย คือ เรื่องการท่องเที่ยว สื่ออเมริกันจำนวนหนึ่งให้น้ำหนักเชิงลบต่อการคงพรก.ฉุกเฉินของรัฐบาลอภิสิทธิ์ ทำให้นักท่องเที่ยวอเมริกัน ที่ปกติ(หากไม่มีธุรกิจใด)ก็ไปเมืองไทยยากอยู่แล้ว ยิ่งไม่กล้าเดินทางไปเมืองไทย พวกเขาเปลี่ยนการเดินทางไปประเทศเอเชียอื่นแทน
ก็เท่ากับรัฐต้องเสียงบประมาณไปแบบไร้ผลเพื่อจ้างข้าราชการหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง อย่างสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และสำนักงานพาณิชยกรรม ตามเมืองต่างๆในอเมริกา รวมทั้งการลงทุนโฆษณาท่องเที่ยวเมืองไทยในช่วงที่ผ่านมา และที่กำลังดำเนินการอยู่ตอนนี้
ท้ายที่สุดแล้ว ก็อีหรอบเดิม คือ หนีไม้พ้นการต้องลงทุนเดินทางมา “โรดโชว์” หรือทัวร์อเมริกา ให้มีทางถลุงเงินงบประมาณจนได้...

_________________________________


อ่านแล้วจะตกใจ นิตยสาร ไทม์ - รัฐ Daulah Islamiah Raya(มันจริงหรือเปล่าหว่า?)

การจะสร้างรัฐ Daulah Islamiah Raya ต้องประกอบด้วยพื้นที่ส่วนหนึ่งของประเทศไทย จึงมีการดำเนินแผนการต่างๆ เรื่อยมาจนถึงปัจุบัน และคาดว่าจะสำเหร็จในเวลาอีกไม่นาน1) การที่จะเข้ายึดครองประเทศได้นั้นไม่สามารถใช้กำลังทางทหารบุกยึดเอาได้อีกต่อไป2) ประเทศไทย มีความเป็นหนึ่งเดียวคนในชาติสามัคคีกันมากและเศรฐกิจเริ่มเข้มแข็ง................ แผนการณ์จึงต้อง ทำลายผู้นำ แยกประชาชน เปลี่ยนการปกครองการเติบโตของไทย ที่ เขา รับไม่ได้คือ1 ไทยเปิดสนามบิน สุวรรณภูมิ เป็น พอร์ทการค้าทางอากาศ2 ไทยมีโครงการ เชื่อมเส้นทางทางทะเล ที่จังหวัดประจวบ เป็น พอร์ทการค้าทางทะเล ซึ่ง เรือ เดินสมุทร จะ เข้ามาทางอันดามัน ออกอ่าวไทย โดย ไม่อ้อมผ่าน ช่องแคบที่ประเทศมาเลเซียอีกเลย (เขาเสียผลประโยชน์มากกว่าไทยเปิดสุวรรณภูมิ หลายร้อยเท่า)การชลอการเจริญเติบโตของไทย และ ยึด ประเทศ จึงทำตามขั้นตอน1 กำจัดผู้นำที่เข้มแข็ง ด้วยทุกวิถีทางที่จะทำได้ เพราะ เมื่อขาดผู้นำที่เข้มแข็ง หัวลากไม่มี การพัฒนาจะหยุดลงเกือบทันที 2 สร้างความไม่ปลอดภันขึ้นในภาคใต้ ทำให้โครงการเชื่อม สองฝั่งทะเลไทย หยุดลงทันที ตอนนี้ เขาไม่เสียผลประโยชน์แล้ว3 แทรกแทรงการปกครองเข้าควบคุมและเปลี่ยนแปลงเต็มรูปแบบ3.1 แบ่งแยกประชาชน ให้ตีกันโดยถือเอา เป้าหมายหลอกเป็นสำ! คัญ3.2 เมื่อแยกประชาชนได้แล้ว ก็ใช้กำลังประชาชนที่ได้มา เข้าบั่นทอน แทรกแทรง อำนาจรัฐ ทุกรูปแบบ บริหาร ตุลาการ นิติบัญญัติ3.2 เปลี่ยน การปกครองในแบบที่กำหนด วางรูปแบบ ลักษณะใหม่ เช่น 70/30 เป็น ต้น ซึ่ง จะต้องเป็นรูปแบบที่ เสียงประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีความหมาย ไม่เอาการเลือกตั้ง ไม่เอาเสียงประชาชน คนไทยส่วนใหญ่ของประเทศไม่สามารถมีรูปแบบการปกครองตนเองได้ 3.3 แยกเอา สามจังหวัดภาคใต้ เป็น รัฐอิสระ ปกครองตนเอง เพื่อ เป็นฐานลุกคืบเข้า สู่จังหวัดอื่นๆในภาคใต้ต่อไป....... เล่าความแบบย่อๆ สั้นๆ จะได้รู้ว่า ที่จริง คนไทยถูก เสี้ยมให้ตีกัน เพื่อ อะไร เป้าหมายจริง คือ อะไร เป้าหมายหลอก คือ อะไร ของแบบนี้ เขาต้องดำเนินการกันนานๆ เป็น สิบปี หาข้อมูล Daulah Islamiah Raya เพิ่มเติมได้จาก Google จะมีข้อมูลมากมาย รู้แล้วบอกเพื่อนๆพี่น้องไทยทุกคน ........... สามัคคีคือพลัง ชาติไทย จะ อยู่ยั้งยืนยง!!!!........... ความเกลียดชัง ชิงชังจะปิดบังตา มองไม่เห็น กลลวงของเขา........... แผ่นดินเดียวกัน คนไทยด้วยกัน ต้องช่วยกัน รักกัน แล้วไทยจะอยู่เป็นไทย ไม่สูญสิ้นแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง !!!
ภาพข้างล่างคือหลักฐานว่าข้อมูลนี้จริงมากน้อยเพียงใด
ถ้ายังรักชาติกันอยู่ ส่งต่อกันไปเยอะๆ คนไทยถูกปิดหูปิดตาหมดแล้ว............





________________________________________


ว่าด้วยการบินไทย(อีกครั้ง)

พีร์ พงศ์พิพัฒนพันธุ์ : http://us.mc363.mail.yahoo.com/mc/compose?to=piralv@yahoo.com

“ผลประกอบการของบริษัทการบินไทย จำกัด(มหาชน) ในไตรมาส 2 (1 เม.ย.-30 มิ.ย.)ปีบัญชี 2553 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 39,634 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,552 ล้านบาท”
นี่คือ ผลประกอบการล่าสุดของบริษัทการบินไทย ที่นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ของการบินไทยได้แถลงไปเมื่อไม่นานมานี้
ขณะที่ผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2553 (1 ม.ค.-30 มิ.ย.53) การบินไทยมีกำไรสุทธิ 12,276 ล้านบาท หรือกำไร 7.23 บาทต่อหุ้น สูงกว่างวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งกำไรสุทธิ 2,465 ล้านบาท หรือมีกำไร 1.45 บาทต่อหุ้น
คงภาพรวมของการบินไทยไว้ที่ “การทำกำไร” ซึ่งถือเป็นการป่าวประกาศ “ในเชิงบวก”
และคงไม่น่าแปลกใจอะไรมากมายกับผลการประกอบการที่ว่ามานี้ เนื่องจากการบินไทยเป็นสายการบินแห่งชาติ เสมือนคำกล่าวของนายดำรง ใคร่ครวญ กงสุลใหญ่ประจำนครลอสแองเจลิส ณ ไทยแลนด์พลาซ่า ไทยทาวน์ฮอลลีวูด เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2553 ในโอกาสเตรียมงานฉลองการบินไทยครบรอบ 50 ปี ว่า “เราอยากเห็นคนไทยทุกคนกลับมาบินด้วยการสายบินไทย เชื่อว่าความรักชาติ ความภาคภูมิใจที่เรามีต่อการบินไทย คงยังเหนียวแน่นอยู่ จากส่วนต่างราคาตั๋วคง(ที่ลดลง)ทำให้ เรากลับมาใช้บริการฯ”(เสรีชัยออนไลน์ http://www.sereechai.com/demo/news.php?no=5888)
คำว่า “เรา”ของนายดำรง น่าจะหมายถึงการบินไทย ขยายความแล้วอาจจะได้ว่า คนไทยที่เดินทางไปมาหาสู่ฝั่งอเมริกา ต้องสนับสนุนสายการบินแห่งชาติของไทย หลังจากที่เชื่อว่า การบินไทยสายแอล.เอ.-กรุงเทพ มีพัฒนาการเชิงการจัดการและการให้บริการดีขึ้นกว่าแต่ก่อน
ก็ในเมื่อแต่ก่อนการบินไทยสายแอล.เอ.-กรุงเทพ กับสายนิวยอร์ค-กรุงเทพ ประผลสบขาดทุนแบบบักโกรก ในหลายช่วงการบริหารของผู้บริหารระดับสูงทั้งที่กรุงเทพ และผู้บริหารระดับท้องถิ่นในอเมริกาที่เรียกกันว่า ผู้จัดการทั่วไปภาคพื้นอเมริกา ซึ่งเวลานี้เหลืออยูเพียงที่เดียว คือ สำนักงานการบินไทยที่แอล.เอ. ด้วยเหตุที่สำนักงานที่นิวยอร์คนั้นปิดไปแล้ว จากเหตุแห่งผลประกอบการดังกล่าว
การประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 แบบรูทีนคราวนี้ ไม่มีรายละเอียดของผลประกอบการของละแต่ละเส้นทางบิน โดยเฉพาะเส้นทางบินที่สำคัญๆ อย่างยุโรป หรืออเมริกาที่ดูเหมือนการบินไทยจะถือว่า เป็นหน้าเป็นตาของบริษัทและประเทศ ไม่ว่าผลประกอบการจะออกมาเป็นเช่นไรก็ตาม
อย่างไรเสียสำหรับโซนอเมริกา ผมเชื่อว่า ที่ผ่านมาการบินไทยได้ปรับตัวพอสมควร นับแต่ผู้จัดการคนก่า เรื่อยมาจนตลอดถึงยุคของนายสุดเศวต เศวตะโสภณ
นายปิยสวัสดิ์ กล่าวในการประชุมของผู้บริหารระดับสูงของสายการบินกว่า 700 แห่งในการประชุมประจำปีของสมาคมการขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศที่กรุงเบอร์ลิน เยอรมนี เมื่อเร็วๆนี้ว่า วิกฤติการเมืองของไทยได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่เหตุการณ์ประท้วงที่กรุงเทพ ยังส่งถึงผลประกอบการไตรมาส 2 นอกเหนือจากผลกระทบของวิกฤติการเงินในยุโรป ในเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา จนทำให้การบินไทยสูญเสียรายได้ที่ควรจะได้รับราว 90 ล้านดอลลาร์
ในงานเดียวกันผู้อำนวยการใหญ่การบินไทยจากกรุงเทพ บอกว่า กำลังคิดที่จะรื้อฟื้นเส้นทางบินนิวยอร์ค- กรุงเทพ ที่ปิดไปก่อนหน้านี้และจะเพิ่มเที่ยวบินเส้นแอล.เอ.-กรุงเทพ จากวันละเที่ยวเป็นวันละ 2 เที่ยว
รับฟังกันแล้วก็น่าจะเป็นข่าวดีสำหรับคนไทย ในฐานะการเป็นเจ้าของการบินไทยทุกๆคน และโดยเฉพาะคนไทยที่ต้องเดินทางไปมาระหว่างฝั่งไทยกับฝั่งอเมริกา
ฟังดูเหมือนจะดีกับการท่องเที่ยวไทย ในแง่ของการขนคนไทยและนักท่องเที่ยวอเมริกันให้ไปเที่ยวเมืองไทยกันมากขึ้น
ในแง่การทำงานร่วมกันของหน่วยงานภาครัฐของไทยในอเมริกา ฟังดูเหมือนจะสามัคคีกันทำงาน ในฐานะของการเป็น “ทีมไทยแลนด์” แม้ว่า เป้าหมายของสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)ในอเมริกา มุ่งถึงจำนวนนักท่องเที่ยว(ไปเที่ยวเมืองไทย)เป็นหลัก โดยไม่จำกัดสายการบิน ขณะที่การบินไทยมุ่งแสวงหาลูกค้า เพื่อขึ้นเครื่องการบินไทยอย่างเดียวแบบจำเพาะเจาะจง แต่ก็ยังถือว่า ทั้งสองหน่วยงานทำเพื่อประเทศไทย
ทั้งในกรณีของการบินไทยออกจะน่าเห็นใจเสียด้วยซ้ำ หากมองในแง่ของการแข่งขันด้านราคา(ตั๋ว)กับสายการบินเอเชียอื่นๆ อย่างเช่น สายการบินไต้หวัน ฮ่องกง เกาหลี และญี่ปุ่น หรือแม้กระทั่งสายการบินของอเมริกาเอง โดยเหตุที่ราคาตั๋วของสายการบินเหล่านี้ถูกกว่าตั๋วของการบินไทยค่อนข้างมาก
การบินไทยมีบินตรง(จากแอล.เอ.)อย่างเดียว ทำให้ราคาตั๋วที่กำหนดจากต้นทุนการบิน แพงกว่าราคาตั๋วของสายการบินของประเทศเอเชียอื่นๆ ซึ่งผู้โดยสารสามารถต่อไฟลท์ที่สนามบินของประเทศเจ้าของสายการบินนั้นๆได้ อย่างเช่น สายการบิน EVA หรือ China Airlines ของไต้หวัน ผู้โดยสารจากอเมริกาต้องไปต่อเครื่องเข้ากรุงเทพที่ไทเป สายการบินสองสายนี้ได้ผู้โดยสารจากไทเปไปกรุงเทพ รวมไปด้วย ทั้งการบินช่วงสั้น ทำให้ลดต้นทุนการบินลงได้ นอกเหนือจากค่าเช่าสนามบินที่จ่ายถูกกว่า เพราะเป็นประเทศเจ้าของสายการบินเอง
แต่อย่างที่บอก ในปีนี้ ยังไม่เห็นผลประกอบการของสายการบินแอล.เอ.-กรุงเทพ แม้นายสุดเศวต จะบอกเมื่อเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมาว่า ช่วงนี้ผู้โดยสารเกือบเต็มลำทุกเที่ยว อย่าง ในชั้นธุรกิจมีประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ทั้งลำผู้โดยสารมีราวๆ 80-90 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าตัวเลขดีขึ้น หลังจากที่ผู้โดยสารจำนวนมากยกเลิกเที่ยวบินช่วงเหตุการณ์ทางการเมืองเม.ย.-พ.ค.ที่ผ่านมา
ดูเหมือนในเรื่องผลประกอบการของเส้นทางบินแอล.เอ.-กรุงเทพ เอง การบินไทยไม่อยากจะเอ่ยถึงมากนัก ความเป็นศักดิ์เป็นศรีของประเทศ ทำให้ต้องคงเส้นทาง และ บินตรง ด้วยเครื่องแอร์บัสขนาดกลาง เป็นเรื่องที่พูดยากและอิหลักอิเหลื่อที่สุด
คนอเมริกันเองส่วนใหญ่ มักเดินทางไปเมืองไทย ด้วยวัตถุประสงค์ด้านธุรกิจ หรือครอบครัวมากกว่าวัตถุประสงค์ด้านการท่องเที่ยวโดยตรง เพราะเหตุที่เส้นทางบินมีระยะไกลมาก
ในแง่ของการเปิดตลาดใหม่ เพื่อดึง “ลูกค้าใหม่” บินไปเมืองไทย การบินไทยในอเมริกายังใช้กลยุทธ์เดิมๆ การจัดโปรโมชั่นต่างๆ ส่วนใหญ่ก็ยังอยู่แต่ในกลุ่มคนไทย และสื่อไทยในแคลิฟอร์เนีย ทั้งที่น่าจะดึงสื่อฟากอเมริกันและชาติเอเชียอื่นๆให้หันมาสนใจเมืองไทยมากขึ้น
ด้วยเหตุที่การบินไทยเอง ไม่สามารถแข่งขันด้านราคาได้อยู่แล้ว เรื่องนี้จึงนับว่ามีผลต่อผลประกอบการของการบินไทยอย่างมาก
การบินไทยอาจจะได้ผู้โดยสารในชั้น ธุรกิจเป็นส่วนใหญ่ แต่โจทย์ใหญ่กว่า คือ ทำอย่างไร จึงจะได้ผู้โดยสารในชั้นธรรมดามากขึ้นด้วย
มองกลับไปสำหรับการประกอบการธุรกิจของการบินไทยในอเมริกา แล้วถือว่า ยังไม่ประสบผลสำเร็จ ถึงแม้กระทั่งได้รวมอยู่กับกลุ่มพันธมิตรการบินใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Star Alliance ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี 1997 ก็ตาม
Star Alliance นั้น ถือว่าใหญ่ก็จริง แต่สำหรับเส้นทางบินอเมริกา-เมืองไทย แทบไม่สามารถเกื้อหนุนต่อธุรกิจของการบินไทยได้เลย
สภาพการณ์ทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป รวมทั้งนโยบายการส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางการบิน การท่องเที่ยวในภูมิภาค น่าจะทำให้ผู้บริหารการบินไทยคิดได้ว่า สายการบินพันธมิตรที่เป็น(ประเทศ)เพื่อนบ้านของไทยในภูมิภาค อย่าง ลาว เวียดนาม เขมร พม่า สามารถใช้ประเทศไทยหรือการบินไทย เป็นข้อต่อไปยังประเทศต่างๆ เหล่านี้
ลำพังผู้อพยพ พลัดถิ่นรุ่นที่หนึ่ง ตลอดถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน นักธุรกิจ คนทำหากินธรรมดาในอเมริกาก็ไม่รู้เป็นจำนวนเท่าไรแล้ว
พวกเขาถามถึงการบินไทย แต่การบินไทยไม่เคยถามถึงพวกเขา!

__________________________________________


Heart-warming video
แม่กบช่วยลูกกบ


ที่มา www.fm-tv.tv เมื่อเข้าหน้าแล้ง อากาศร้อน แดดแรง น้ำตามห้วยหนองคลองบึงต่างระเหยหายจนแห้งขอด ดินเริ่มแตกระแหงเพราะขาดน้ำหล่อเลี้ยง สัตว์บกสัตว์น้ำพากันเดือดร้อน สัตว์ใหญ่เช่นช้าง ต่างพาลูกโขลงออกแสวงหาแหล่งน้ำเพื่อดื่มกินประทังชีวิต ขณะที่แม่กบกระโดดหนี เพื่อจะได้รอดพ้นจากการถูกเท้าช้างเหยียบ ทิ้งลูกอ๊อดฝูงใหญ่ ต่อสู้กับโชคชะตาในบึงน้ำที่เริ่มแห้งขอดลงทุกที.. จนเมื่อปลอดภัย แม่กบก็พบว่า น้ำในบึงถูกแยกเป็นสองส่วน แล้วลูกอ๊อดของเธอกำลังดิ้นรน แสวงหาแหล่งน้ำที่จะได้แหวกว่ายอาศัยมีชีวิตรอดอยู่ต่อไป เธอจึงใช้สมองอันมีอยู่น้อยนิดของเธอ+ความรักอันยิ่งใหญ่มากท้นสุดประมาณของความเป็นแม่ ใช้สองขาหลังของเธอขูดคุ้ยตะกุยดินด้วยความพากเพียรพยายามอย่างไม่ลดละ ทุก ๆ คนต่างก็เอาใจช่วยเธอ ผลที่สุดความพยายามของเธอก็สำฤทธิ์ผล เมื่อกำแพงดินนั้นทะลายลง สองบึงน้ำก็ไหลบรรจบกัน ลูกอ๊อดของเธอต่างแหวกว่ายพาตัวเองไปสู่บึงน้ำแอ่งใหม่อย่างปลอดภัย ครอบครัวของแม่กบจึงได้อยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้งหนึ่ง

No comments: