Sunday, November 14, 2010

Thai News 11-23-10

ผลกระทบของการแข็งค่าของเงินบาทต่อตลาดสหรัฐอเมริกา

สืบเนื่องจากการที่รัฐบาลปัจจุบันของสหรัฐฯมีนโยบายที่จะเร่งการส่งเสริมการส่งออก National Export Initiative (NEI) ที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มการส่งออกของสหรัฐฯเป็นสองเท่าภายในปี 2552 อีกทั้งธนาคารกลางของสหรัฐฯยังคงไม่ปรับระดับอัตราดอกเบี้ย (ปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำพิเศษที่ 0% 0.25%) เศรษฐกิจสหรัฐที่ยังไม่ดีขึ้น และ อัตราการว่างงานที่ยังคงไม่ลดลง ซึ่งอยู่ที่ระดับ 9.6% ในเดือนตุลาคม 2553 ทำให้แนวโน้มค่าเงินดอลลาร์ของสหรัฐฯมีแนวโน้มที่จะอ่อนตัวลง เมื่อเปรียบเทียบกับเงินสกุลอื่นๆ

จากตารางความเคลื่อนไหวสกุลเงินเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ จะเห็นได้ว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่นๆ จะมีอัตราอ่อนตัวลงอย่างเห็นได้ชัด โดยที่เมื่อเปรียบเทียบกับเงินริงกิตมาเลเซีย มีอัตราการอ่อนค่าลงถึง 9% หากเปรียบเทียบกับเงินเยนของญี่ปุ่น ดอลลาร์สหรัฐฯก็อ่อนค่าลง 10.1% จากปลายปี 2552 เช่นเดียวกันเมื่อเปรียบเทียบกับค่าเงินบาท ซึ่งเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่าลงถึง 10.2% โดยรวมแล้วหากเปรียบเทียบค่าเงินดอลลาร์กับสกุลเงินในเอเชีย ก็จะเห็นได้ว่าดอลลาร์อ่อนค่าลงในเชิงเปรียบเทียบ ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากเม็ดเงินลงทุนจำนวนมากที่ไหลเข้ามาในภูมิภาคเอเชียในช่วงปีที่ผ่านมา อีกทั้งการที่รัฐบาลสหรัฐฯได้ดำเนินมาตราการผ่อนปรนเชิงปริมาณ (Quantitative Easing) ชุดที่ 2 ซึ่งจะมีการอัดฉีดเงินดอลลาร์เข้าสู่ระบบอีก 6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงว่าเงินจำนวนนี้ส่วนใหญ่จะนำมาลงทุนใน Emerging markets ซึ่งจะทำให้ค่าเงินของประเทศเหล่านั้นแข็งค่าขึ้นอีก ดังนั้นค่าเงินบาทไทยจึงมีแนวโน้มที่จะแข็งขึ้นจากมาตราการนี้ของสหรัฐฯเช่นกัน

นอกจากนั้นแล้วการที่อัตราว่างงานในสหรัฐฯ ที่สูงถึงเกือบ 10% ย่อมส่งผลต่อกำลังซื้อโดยรวมในตลาดสหรัฐฯด้วยและเนื่องจากประเทศสหรัฐฯเน้นการบริโภคจากสินค้าที่ผลิตนอกประเทศ เมื่อผู้บริโภคมีกำลังซื้อที่ลดลงย่อมหมายถึงว่าสินค้าการส่งออกประเทศต่างๆรวมถึงไทยก็ย่อมได้รับผลกระทบไปด้วย อีกทั้งการที่ผู้ขายสินค้าในตลาดสหรัฐฯจะเพิ่มราคาสินค้าก็ทำได้ยาก ดังนั้นผู้นำเข้าเองจึงไม่ต้องการจะรับภาระต้นทุนการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นจากการเพิ่มราคาสินค้าของผู้ส่งออกจากประเทศที่อ้างว่าอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราของประเทศนั้นๆแข็งขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ด้วยเหตุนี้ผู้นำเข้าสหรัฐฯอาจมีการเสาะหาแหล่งผลิตที่สามารถผลิตสินค้าที่มีคุณลักษณะใกล้เคียงกันแต่สามารถเสนอราคาที่ต่ำกว่าได้

ด้านสินค้าอาหาร ทางสำนักงานฯได้รับฟังข้อคิดเห็นจากผู้นำเข้าสินค้าไทยในสหรัฐฯในเรื่องที่ผู้ส่งออกไทยขึ้นราคาสินค้าติดต่อกันหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง สินค้าอาหารที่มีแบรนด์คงไม่ได้รับผลกระทบมากนักเนื่องจากยังคงมีอุปสงค์จากตลาดสหรัฐฯ แต่ถ้าเป็นสินค้าอาหารทั่วไป (Generic brand) ที่ต้องแข่งขันด้านราคากับต่างประเทศอาจถูกมองว่าแพงเกินไปในสายตาผู้นำเข้า ดังนั้นผู้นำเข้าสามารถที่จะเปลี่ยนไปนำเข้าจากประเทศอื่นได้ หากมีการขอขึ้นราคาจากผู้ส่งออกไทยอย่างต่อเนื่องเช่นนี้

ข้อเสนอะแนะ

การให้ความเชื่อมันกับคู่ค้าเป็นสิ่งสำคัญในตลาดสหรัฐฯ การคงคุณภาพสินค้าให้เป็นไปตามความต้องการของผู้ซื้อ และ การส่งสินค้าให้ตรงต่อเวลาเป็นสิ่งที่ผู้นำเข้าต้องการ เป็นสิ่งที่ผู้ส่งออกไทยควรจะให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกๆ การที่จะขึ้นราคาสินค้าย่อมเป็นไปได้เมื่อมีต้นทุนที่สูงขึ้น หากการปรับขึ้นราคานั้นเป็นผลมาจากความไม่แน่นอนในอัตราแลกเปลี่ยนทำให้ขาดทุนกำไรเช่นนั้นแล้ว การปรับขึ้นราคาไม่ควรปรับบ่อยๆ ผู้ส่งออกอาจมีการนำเสนอกลยุทธ์การตลาดเพื่อเพิ่มจำนวนการสั่งซื้อสินค้าเพื่อทดแทนราคาที่ไม่สามารถขึ้นได้มากนัก

สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครนิวยอร์ก

23 พฤศจิกายน 2553

__________________________


Krathin & LoyKraTong WatThai Los Angeles 2010



_____________________________________________

Promotional video for the proposed new Thai community in the San Francisco Bay Area


______________________________________________

น้ำมันพืช....อันตรายระดับชาติ !!!

คนไทยตาสว่างเสียที เลิกเสียเงินซื้อยาฝรั่ง ต้นเหตุเพียงแค่น้ำมันพืชเคลือบระบบดูดซึม

อดีตเมื่อก่อน 30 ปีที่แล้ว คนไทยใช้น้ำมันมะพร้าว และ น้ำมันหมูทำกับข้าว จู่ ๆ โฆษณาฝรั่ง มากล่าวโทษวิถีไทยเดิม ๆ อ้างว่าน้ำมันมะพร้าว และ น้ำมันหมูทำให้คลอเลสเตอรอลสูง เพราะจับตัวเป็นไข วิธีแก้คือ การใช้น้ำมันพืช

ปัจจุบัน ผู้คนส่วนใหญ่เปลี่ยนมาใช้น้ำมันพืช เพราะความเชื่อที่ถูกฝรั่งฝังหัวมา แต่ปรากฏว่า อัตราการเป็นโรคต่าง ๆ มากขึ้น ไขมันในเลือดสูง, โรคหัวใจ, โรคไต, ภูมิแพ้เป็นต้น

วงการสุขภาพของตะวันตก เพิ่งจะมาตาสว่างเมื่อค้นพบโทษของน้ำมันพืช สหรัฐ ฯ ได้ออกมาตรการลด ละ เลิก ใช้ น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี (transfat oil) ในหลาย ๆ รัฐ

ท่านสามารถอ่านข่าวเหล่านี้ได้ เช่น

อาร์โนลด์ ชวาชเนกเกอร์ ผู่ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย กับการแบนการใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี โดยกล่าวว่า การใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี ทำให้เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ…”

http://gov.ca.gov/press-release/10291/

รัฐเท็กซัสพระราชบัญญัติ ขจัดน้ำมันพืชแปรรูปให้หมดจากร้านอาหาร ภายใน สิงหาคม 2553 http://dallas.bizjournals.com/dallas/stories/2009/05/04/daily72.html

KFC เริ่มเห็นโทษของน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี ออกเมนูไร้น้ำมันพืช Transfat http://abcnews.go.com/Health/OnCall/story?id=2615217

McDonald ประกาศเริ่มใช้น้ำมันชนิดอื่น แทนน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเมื่อปี 2007 เริ่มต้นที่ 1,200 สาขา http://www.msnbc.msn.com/id/16873869/

Dunkin Donut ประกาศเลิกใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีตั้งแต่ปี 2550

https://www.dunkindonuts.com/aboutus/press/PressRelease.aspx?viewtype=current&id=100102

เว๊บไซท์ ต่อต้าน transfat http://www.bantransfats.com/

โรคที่มากับน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีระบบเผาผลาญอาหารเสื่อม, เบาหวาน, ธัยรอยด์, เสื่อสมรรถภาพทางเพศ, โรคหัวใจ, โรคอ้วน, โรคไตhttp://transfatdisease.com/why.html

อาหารที่พบอยู่ทั่วไป มีน้ำมันพืชเสมอ ก๋วยเตี๋ยว, ผัดไท, หอยทอด, ราดหน้า, ผัดผักทุกชนิด, ไก่ทอด, ปาท่องโก๋, ข้าวผัด ขนมอบ เบเกอรี่ สรุปรวมว่าอาหารทุกชนิดที่ใช้กะทะ (ผัด ทอด) ใช้น้ำมันพืชทั้งนั้น

น้ำมันพืชเกือบทุกชนิด ใช้น้ำมันปาล์มเป็นวัตถุดิบ ซึ่งราคาถูก แต่ขวางระบบดูดซึม น้ำซึมผ่านไม่ได้ หากใช้วัสดุอื่นตามที่โฆษณาจริง เหตุใดจึงยังขายได้ในราคาถูกเช่นนั้น

อย่าให้คำว่า ไม่เป็นไข มาหลอกท่านได้อีก

น้ำมันพืชเมื่ออยู่ในอุณหภูมิที่ต่ำกว่า 25 องศา จะดูสวยงาม ไม่เป็นไข ผิดกับน้ำมันหมูที่เมื่อยู่ในอุณหภูมิต่ำ จะเป็นไข แต่เมื่อน้ำมันพืชเข้าไปอยู่ในร่างกาย อุณหภูมิ 37 องศา จะกลายเป็นกาวเหนียว เกาะติดลำไส้ตั้งแต่ลำคอลงมาถึงลำไส้ใหญ่ ไม่สามารถล้างออกได้ด้วยพืชผักที่เราทานเข้าไป และ ไม่สามารถล้างออกได้ด้วยน้ำชาธรรมดา

แต่น้ำมันจากสัตว์ และ น้ำมันมะพร้าว เมื่ออยู่ในอุณหภูมิร่างกาย จะไม่มีทางเป็นไข และ จะละลายกับน้ำได้ สารอาหารต่าง ๆ ยังซึมเข้าร่างกายได้

หากท่านลองนำน้ำมันพืช ใส่ภาชนะ แล้วไปตั้งทิ้งไว้กลางแดดสัก 10 นาที อุณภูมิจะประมาณ 30 กว่าองศา ใกล้เคียงร่างกายมนุษย์ ท่านเช็ดน้ำมันพืชออกได้ยากมาก เหมือนกับที่เขม่ากาวติดกะทะ เครื่องครัว เขม่ากาวเหนียวนั่นคือผลของน้ำมันพืชโดนความร้อน จำเป็นต้องใช้กรดมาล้างเท่านั้น

แต่หากท่านลองใช้น้ำมันหมู หรือ น้ำมันมะพร้าว ใส่ภาชนะแล้วตากแดด จะพบว่าล้างออกได้โดยง่าย

เมื่อน้ำมันพืชเคลือบระบบดูดซึมท่านทั้งหมด น้ำก็จะไม่เข้าร่างกายท่าน เมื่อท่านทานน้ำ น้ำก็จะถูกพาไต พาไปที่กระเพาะปัสสาวะโดยเร็ว เสมือนกับท่านทานน้ำ 100% น้ำไม่ได้ถูกดูดซึมเข้าไปใช้ในอวัยวะต่าง ๆ เลย กลับเป็นภาระให้ไตนำไปทิ้ง 100% นี่คือเหตุผลว่าทำไมท่านทานน้ำแล้วฉี่บ่อย เป็นโรคไต และ โรคกระเพาะปัสสาวะตามมา

เมื่อน้ำซึมเข้าตัวไม่ได้ วิตามินที่มากับน้ำ เช่น วิตามินบี และ ซี ก็จะไม่เข้าร่างกายท่าน ขาดวิตามินบี ทำให้สมองมีปัญหา เฉื่อยชา ความจำสั้น หากหญิงกำลังตั้งครรค์ มีโอกาสทำให้ลูกคลอดมาเป็นออทิสติค ขาดวิตามินซี ทำให้ภูมิคุ้นกันมีปัญหาเป็น ภูมิแพ้ หวัด ไวรัส

เมื่อภูมิคุ้มกันมีปัญหา ท่านก็จะติดโรคอื่น ๆ ได้ง่ายมาก จบลงด้วยการเสียเงินซื้อยาฝรั่ง เงินทองไหลออกนอกประเทศ เพราะเพียงแค่ท่านหลงเชื่อว่าน้ำมันพืชสมัยใหม่ไม่เป็นอันตราย

น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี จำเป็นต้องผ่านกระบวนการ

- ฟอกสี (bleached) เพื่อให้สีดูสวย สดใส

- แต่งกลิ่น (deodorized) เพื่อให้ไม่มีกลิ่นหืน มีกลิ่นตามที่ต้องการ

- ใส่ไฮโดรเจน (hydrogenated) เพื่อทำให้ทอดอาหารอร่อย

-

กระบวนการเหล่านี้ ทำให้สารเคมีเปลี่ยน เมื่อทานเข้าไปแล้ว เป็นพิษต่อร่างกายโดยตรง

เมื่อใดที่เห็นข้างกล่องผลิตภัณฑ์ว่า มีน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี ขอให้รู้ว่านั่นคือยาพิษ โยนทิ้งขยะทันที

…Trans fats do not exist in nature. They are laboratory-designed and have adverse health consequences. They interfere with the body’s production of beneficial fatty acids and promote heart disease. As trans fatty acids offer no benefits and only clear adverse metabolic consequences, when you see the words partially hydrogenated on the side of a box, consider it poisonous and throw it in the trash. (Ascherio, A., and W. C. Willett. 1997. Health effects of trans fatty acids. Am. J. Clin. Nutr. 66 (4 supp.): 1006S–10S.)

http://www.diseaseproof.com/archives/hurtful-food-dunkin-donuts-kills-trans-fat.html

ถึงเวลาล้างได้แล้ว

ท่านจำเป็นต้องล้างน้ำมันพืชในร่างกาย ที่สะสมมาตั้งแต่เกิดเสียที ด้วยสูตรตามธรรมชาติ ที่ท่านสามารถพึ่งพาตัวเองได้ มี 2 สูตร ที่ได้รับการทดสอบจากประชาชนทั่วไป มากกว่า ห้าหมื่นคน และ ได้ผล

สูตรที่เร็วที่สุดคือ น้ำชามะละกอ (ล้างอย่างเดียว แต่เร็ว)

วิธีทำ : มะละกอดิบ ที่ใช้ตำส้มตำ นำมาหั่นเป็นชิ้นเหมือนชิ้นฟัก ประมาณ 6-8 ชิ้นต่อน้ำ 2 ลิตร จะขาดจะเกิน ไม่ผิด (ถ้าใส่มากเกินไปจะทำให้บูดง่าย มะละกอดิบที่เหลือ ใส่ตู้เย็นเก็บไว้ใช้ได้ในครั้งต่อไป) และ ใบเตย หรือ เก๊กฮวย อย่างใดอย่างนึง กะเอง ต้มในน้ำ จนเดือด พอเดือดได้ประมาณ 1 นาที ปิดไฟทันที อย่าต้มต่อ ให้เอามะละกอ กับ ใบเตยทิ้ง (อย่าปล่อยให้มะละกอเดือดจนเละ) แล้วใส่ใบชา ลงไปแช่ประมาณ 4 นาที ห้ามแช่นานกว่า 4 นาทีเพราะสารแทนนินจะออกมา ทำให้ท้องผูก แล้วตักใบชาทิ้ง จะได้น้ำชามะละกอ ดื่มร้อน หรือ เย็นได้ น้ำชาที่เหลือให้แช่ตู้เย็น เก็บไว้ได้ประมาณ 2 วัน เกินกว่านั้นจะบูด (ยางมะละกอล้างไขมัน, ใบเตยให้ความสดชื่น, ชาดับกลิ่นมะละกอ)

สูตร นมสดโยเกิร์ตน้ำผึ้งมะนาว (ล้างและบำรุง ค่อย ๆ ล้าง)

นมสด โยเกร์ต น้ำผึ้ง มะนาว : ใช้โยเกิร์ตชนิดจืดครึ่งถ้วย ผสมนมสดชนิดจืด 1 กล่อง เติมน้ำผึ้ง 2 ช้อนชา และ บีบมะนาว 2 ลูก คนให้เข้ากัน ทิ้งไว้ 5-10 นาที แล้วค่อยดื่ม
คุณสมบัติ
: ให้วิตามิน B บำรุงสมอง วิตามิน C เพิ่มภูมิต้านทาน, จุลินทรีย์ตัวดีช่วยย่อยน้ำมันพืช, นมสดให้แคลเซียม

ขอให้ท่านมองดูคนป่วยรอบกายท่าน คนป่วยในสังคม แล้วถามตัวเองว่า

- คนเหล่านั้น ทานน้ำมันพืชแล้วภูมิคุ้มกันมีปัญหา ป่วย แต่ไปรักษาปลายเหตุ ใช่หรือไม่ ?

- คนป่วยเหล่านี้มากพอหรือยัง เงินที่คนป่วยเหล่านี้ต้องจ่ายซื้อยา เงินนั้นอยู่ในประเทศหรือนอกประเทศ ?

- เศรษฐกิจพอเพียงจะเกิดขึ้นได้อย่างไร หากคนไทยยังไม่ดูแลสุขภาพตนเอง ต้องพึ่งพายาฝรั่งไปเรื่อย ๆ ?

ท่านอย่าเพิ่งเชื่อบทความในนี้ จนกว่า ท่านหาจะได้ข้อมูลเพิ่มเติมใน search engine (google) ต่าง ๆ ด้วยตนเอง โดยพิมพ์ key word ต่อไปนี้ (พิมพ์ครั้งละ 1 คำ)

Transfat, transfat bill, vegetable oil bad health, hydrogenated oil, ชามะละกอ, อันตราย น้ำมันพืช


No comments: